(ต้นตระกูลโอสถานุเคราะห์)
หวังตั้งรกรากสร้างตัวที่นี่
ด้วยความหนักเอาเบาสู้ที่มีอยู่ในสายเลือด
ทำให้นายแป๊ะไม่เกี่ยงงานสุจริตที่จะทำให้เขา
ได้รับค่าตอบแทนมาเป็นทุนรอนในการสร้างชีวิต
ให้ดีขึ้น เขาเริ่มจากการเป็นลูกจ้าง
ก่อนจะผันตัวมาทำกิจการค้าขาย
และแต่งงานกับหญิงสาวชาวไทยที่ชื่อ แหวน
หลังจากเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง
นายแป๊ะก็เช่าตึกแถว 1 คูหาในย่านสำเพ็ง
เปิดเป็นร้านค้าเล็กๆ และตั้งชื่อร้านว่า
ขายของเบ็ดเตล็ด เครื่องใช้ไม้สอย
เช่น นาฬิกา ร่ม ถ้วยชาม
โดยมากขายส่งไปตามต่างจังหวัด
หรือมีลูกค้าจากต่างจังหวัดมาซื้อ
เมื่อห้างบี.กริมม์ แอนด์ โก นำยาชื่อ “ปัถวีพิการ”
ซึ่งมีสรรพคุณแก้เมื่อย แก้แพ้ มาฝากขายที่ร้านเต๊กเฮงหยู
เขาจึงมองเห็นโอกาสค้าขายของตัวเองเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง
คือ “ยา” ซึ่งเขาจำได้ว่า
หากต้นกฤษณายังไม่มีบาดแผล เนื้อไม้จะมีสีขาว
แต่หากเกิดบาดแผลก็จะมีน้ำมันสีดำเกิดขึ้น เรียกว่า “เกิดกฤษณา”
ผู้เชี่ยวชาญการปรุงยาก็จะนำน้ำมันสีดำนี้ไปใช้เป็นตำรับยา
เรียกว่า “เข้ากฤษณา” ซึ่งตำรับยาจีนที่แป๊ะนำมาเข้ากฤษณา
หลังจากปรุงยาตามตำรับยาโบราณแล้ว
นายแป๊ะก็คิดถึงการทำสัญลักษณ์
เพื่อให้คนจดจำได้
รวมทั้งใส่รูปดวงอาทิตย์และคัมภีร์พิชัยสงคราม
เข้าไปเป็นส่วนประกอบในตราการค้าของเขาด้วย เกิดเป็น
กิจการร้านเต๊กเฮงหยูและยากฤษณากลั่น ตรากิเลน
เจริญเติบโตเป็นลำดับ และยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้น
นับตั้งแต่ พ.ศ.2455 เป็นต้นมา
ครั้งนั้นกองเสือป่าในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ไปทำการซ้อมรบที่ ต.ดอนเจดีย์ จ.นครปฐม
แต่การเดินทางที่ยากลำบากประกอบกับโรคภัยไข้เจ็บ
ที่จู่โจมทุกคนได้ง่าย ทำให้เสือป่าจำนวนไม่น้อยล้มป่วย
ด้วยอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง
ความทราบถึงรัชกาลที่ 6 พระองค์จึงทรงแนะนำให้ทหาร
และเสือป่านำยากฤษณากลั่นตรากิเลนมาใช้ในกิจการเสือป่า
ทำให้ยาของนายแป๊ะขายดีมานับตั้งแต่นั้น
อีกทั้งยังทรงบันทึกกิตติคุณของยากฤษณากลั่น
ตรากิเลนไว้ในหนังสือ
“พระราชนิพนธ์กันป่วย”
คุณความดีของนายแป๊ะที่ช่วยเหลือกิจการเสือป่า
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงพระราชทาน
เข็มเสือป่าและแต่งตั้งให้มีตำแหน่งเป็นมหาดเล็ก
หลังจากยากฤษณากลั่นตรากิเลน
ที่เป็นเสมือนยาที่มอบชีวิตใหม่ให้นายแป๊ะ
เช่น ยาสตรีฑีฆายุ เป็นยาบำรุงผิวพรรณสำหรับผู้หญิง,
ยาแสงสว่างแก้ลมขึ้นเบื้องสูง, ยาอินทรจักรแก้ลม,
ยาหอมเทพจิต, ยาแก้ไข้, ยาเม็ดดำ ฯลฯ
หลังจากนายแป๊ะ เสียชีวิตในปี 2461
คุณสวัสดิ์เข้ามารับหน้าที่สานต่อกิจการด้วยวัย 17 ปี
โดยเน้นไปที่ธุรกิจยาและยาที่มีชื่อเสียงคือ
แจกใบปลิว โปสเตอร์ ลงโฆษณาหนังสือพิมพ์ ทำแคตตาล็อกสินค้า
ใช้รถแห่โฆษณา ติดป้ายบิลบอร์ดริมทางรถไฟ จัดรายการวิทยุชุมชน
ออกหน่วยปลูกนิยม ฉายหนังกลางแปลงและขายสินค้าไปพร้อมๆกัน
จัดโปรโมชั่นซื้อยากฤษณากลั่น 2 แถม 1 การแจกสินค้าตัวอย่าง
ริเริ่มระบบเครดิตขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
โอสถสภา (เต๊กเฮงหยู) ถือเป็นบริษัทแรกที่ใช้ "หมอลำ ลิเก ลำตัด"
เป็นสื่อกลางถึงผู้บริโภค ถึงขั้นมีการจัดตั้งสำนักงานหมอลำชื่อ บ้านพักหมอลำทัมใจ อยู่ที่ขอนแก่น
ปูพรมโฆษณาขายยาทุกประเภท ทั้งยาทัมใจ ยาหม่อง ยากฤษณากลั่นตรากิเลน
เพื่อให้เข้าตัวถึงตัวผู้บริโภคอย่างแท้จริง
ซึ่งมีแนวคิดมาจากนามสกุล
แต่เลิกไปเพราะขณะนั้นมีร้านขายยาจำนวนมาก
นำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของชื่อร้านจนคล้ายกันไปหมด
จากนั้นจึงเปลี่ยนชื่อเป็น “โอสถสภา” และมีวงเล็บ
“เต๊กเฮงหยู”
คำว่า “โอสถสภา” เป็นชื่อเดิมที่รัฐบาลใช้
หมายถึงที่ขายยาของรัฐบาล คล้ายกับองค์การเภสัชกรรม
ซึ่งภายหลังรัฐบาลเปลี่ยนมาใช้คำว่า “โอสถศาลา”
หนึ่งในนั้นคือการเปิดตลาดเครื่องดื่มให้พลังงานเป็นเจ้าแรกของไทย
จากการนำเข้าลิโพวิตันดีมาจากประเทศญี่ปุ่น
และเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มให้พลังงานของไทยจวบจนปัจจุบัน
ริเริ่มกลยุทธ์ Idol marketing
นำศิลปินเกาหลีมาเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาสินค้าเป็นเจ้าแรก
และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นในยุคนั้น
คุณสวัสดิ์ โอสถานุเคราะห์ ได้พัฒนาสูตรยาและสินค้าใหม่ๆตลอดเวลา
หลังจากย้ายสถานที่จากสาเพ็งมาที่เจริญกรุง ใกล้สี่แยก เอส เอ บี
วิธีการผลิตยาก็เปลี่ยนไป เป็นการผสมผสานระหว่างเครื่องจักรและแรงงานคน
ซึ่งยาที่มีการพัฒนาเพิ่มขึ้นเริ่มเป็นยาแผนปัจจุบัน หรือจำพวกยาสามัญประจำบ้านและได้รับความนิยมแพร่หลาย
มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า
ภรรยาคุณสวัสดิ์ โอสถานุเคราะห์ นายหญิงแห่งโอสถสภาเต๊ก เฮง หยู นั่นเอง
จากเรื่องบรรเทาปวดของทัมใจ มาถึงเรื่องหอมปากหอมคอของ
เรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า โบตัน เคยเป็นสินค้าสื่อรักของหนุ่มสาวในสมัยหนึ่ง
ที่ไม่รู้จะคุยอะไรก็ส่งโบตันให้กัน
โดยให้รวบรวมซองเปล่า ส่งไปรษณีย์มาแลกได้ 1 ตลับ
ซึ่งเป็นการรวบรวมบทเพลงไทยผลงานของ ครูบุญช่วย กมลวาทิน
โดยพรีเซนเตอร์โฆษณาแคมเปญในตอนนั้นคือ อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ
จากพื้นที่เล็กๆ ในซองกระดาษ โบตันถูกห่อด้วยแผ่นอลูมิเนียม
ต่อมาเปลี่ยนมาเป็นแบบตลับโลหะที่ทุกวันนี้กลายเป็น Rare item ไปแล้ว
เพิ่มสูตรใหม่เป็นโบตันพลัส และวิวัฒนาการจนกลายมาเป็น “โบตันมินท์บอล”
เม็ดอมรูปแบบใหม่ที่เคลือบด้วยความหอมเย็น 2 ชั้น ก่อนที่จะไปเจอโบตันรสดั้งเดิมข้างใน
ซึ่งเปรียบเสมือนคุณค่าทางธุรกิจของโอสถสภาที่ฝังรากลึกมานาน
และยังปรับตัวเข้ากับยุคสมัยอยู่เสมอ ด้วยรูปแบบเม็ดอมสมุนไพร
เนื้อเพลงคุ้นหูที่คนอายุ 30+ เกือบทุกคนต้องร้องได้
ลูกอมโอเล่ หวานหอมกลิ่นสตรอเบอร์รี่ ครองใจผู้คนทุกวัย
มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2512 พร้อมเพลงโฆษณาที่ถือว่าเป็นหนึ่งใน
กลยุทธ์การตลาดที่ทำให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์จวบจนวันนี้
ถูกนำมาทำใหม่หลายเวอร์ชั่น และมีดารา-นักร้องหญิงชื่อดังเป็นพรีเซ็นเตอร์
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรสชาติสตรอเบอร์รี่ที่ไม่เหมือนใคร
และกลิ่นหอมชื่นใจที่เป็นเอกลักษณ์
ปรับตัวตามสมัย และนำเทรนด์ ไม่เพียงลูกอมที่รสชาติแปลกใหม่
แต่ยังพัฒนาสินค้าที่หลากหลายพร้อมด้วยแพ็กเกจจิ้งที่ทันสมัยมาโดยตลอด
อันโด่งดังจากญี่ปุ่นเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย
และได้รับลิขสิทธิ์จากบริษัทไทโช
ให้ทางบริษัทโอสถสภาเป็นผู้ผลิตสินค้าในประเทศในอีก 8 ปีถัดมา
เล่าลือกันว่า โกวิท สีตลายัน หรือ มังกร ห้าเล็บ นักเขียนโด่งดังของไทยรัฐ
ในช่วงนั้นยังทำงานบริษัทโฆษณาเป็นคนเขียนคำโฆษณาฮิตระเบิดที่ว่า
ทำให้คนไทยรู้จักเครื่องดื่มยี่ห้อ “ลิโพ” และเครื่องหมายชู 2 นิ้ว
ที่กลายเป็นขวัญใจคนทำงานหนักในสมัยนั้น
เพื่อท้าชิงความเป็นเจ้าตลาดกับคู่แข่งในขณะนั้น
โดยก่อนจะเป็นแบรนด์ M-150 เคยใช้ชื่อเครื่องดื่มแม็กนั่ม M-150 มาก่อน
ต่อมาคุณสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น M-150 นั่นเอง
เครื่องดื่มให้พลังงานแบรนด์แรกของไทย
เครื่องดื่มสุขภาพยอดนิยมของคนไทย
เครื่องดื่มรสนมเปรี้ยวสไตล์ญี่ปุ่น
คำสอนจากคุณสวัสดิ์ โอสถานุเคราะห์ ที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
ปณิธานอันแน่วแน่ในการตอบแทนสังคมของผู้ก่อตั้ง
ได้ถูกส่งผ่านสู่สมาชิกในตระกูลโอสถานุเคราะห์
ก่อตั้งโดยคุณสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์
มุ่งเน้นสนับสนุนและช่วยเหลืองานในด้านการศึกษา และด้านสาธารณสุข
รวมถึงกิจกรรมสาธารณกุศลต่างๆ ของสังคม
โดยมิได้มุ่งหวังผลตอบแทนใดๆ
เพื่ออยากให้พนักงานได้สังสรรค์พบปะกัน
เกิดความสามัคคีแลกเปลี่ยนความคิด ฟังไอเดียจากพนักงานผู้น้อย
มีการประชุมทุกสัปดาห์โดยใช้โรงงานเป็นที่จัดประชุม
และเลี้ยงน้ำชา ส่งเสริมให้แสดงความคิดเห็น ติชมงานของบริษัท
หรือใครมีไอเดียแปลกใหม่ก็เสนอแนะได้
เส้นทางการค้าขายของโอสถสภาไม่ได้เรียบง่ายและสวยหรู
ถึงแม้จะประสบความสำเร็จ ขายดี ติดตลาด เป็นที่ต้องการของลูกค้า
แต่กระนั้นก็ยังมีคู่แข่งที่น่ากลัวอยู่ไม่น้อย