โอสถสภาโชว์กำไรสุทธิไตรมาส 3/62 838 ล้านบาท หลังยอดขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังและ Functional Drinks เติบโตแข็งแกร่ง เตรียมพร้อมเปิดโรงงานใหม่รองรับการเติบโต เตรียมรุก CLMV เต็มตัว

“บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน)”หรือ OSP โชว์ผลประกอบการไตรมาส 3/62 เติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยกำไรสุทธิมูลค่า 838 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.5% จากงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา ดันกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกเพิ่มขึ้นเป็น 2,436 ล้านบาทจากความสำเร็จในการผลักดันตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังและ Functional Drinks ในประเทศให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ มั่นใจไตรมาสสุดท้ายจะยังรักษาการเติบโตของผลการดำเนินงานที่ดีจากแผนการออกสินค้าใหม่ กลยุทธ์ควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายและกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดโรงงานใหม่ทั้งในและต่างประเทศ พร้อมขยายตลาดเข้าสู่ประเทศเวียดนามและมีแผนการลงทุนในโรงงานผลิตขวดแก้วในประเทศเมียนมาร์ที่คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2564
นายเพชร โอสถานุเคราะห์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บมจ. โอสถสภา หรือ OSP ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของไทย เปิดเผยผลงานในไตรมาส 3/62 (งวดเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2562) ยังรักษาอัตราการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยบันทึกกำไรสุทธิมูลค่า 838 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.5% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่งผลให้กำไรสุทธิ 9 เดือนแรกของปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 2,436 ล้านบาท จากความสำเร็จของกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังที่ยังรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับหนึ่งไว้ที่ 53.5% ตามเป้า อีกทั้งยังเป็นผู้นำตลาดในส่วนเครื่องดื่ม Functional Drinks จากความสำเร็จของเครื่องดื่มซี-วิต และเปปทีน
ในไตรมาส 3/62 นั้น บริษัทฯ ยังคงเป็นผู้นำในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังและเครื่องดื่ม Functional Drinks โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มมีการเติบโตในสินค้ากลุ่มหลักทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นสินค้าหลักอย่าง เอ็ม-150 เครื่องดื่มบำรุงกำลังที่มีส่วนผสมของสมุนไพรอย่าง โสมอินซัม รวมทั้งกลุ่มเครื่องดื่ม Functional Drinks ที่ได้รับความนิยมอย่างเครื่องดื่มซี-วิต โดยแบรนด์เอ็ม-150 ยังครองสถานภาพการเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งถึง 37% ในขณะที่บริษัทฯ ยังผลักดันตลาด Functional Drinks ในภาพรวมให้เติบโตอย่างโดดเด่นด้วยแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักอย่าง ซี-วิต (C-Vitt) และ เปปทีนที่เติบโตถึง 37.8% และ 31.8% ตามลำดับ อีกทั้งยังมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างเครื่องดื่มวีพลัส ซึ่งเป็นเครื่องดื่มผสมเกลือแร่ วิตามินซี และคูลมินต์ และเครื่องดื่มสลิมม่า ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยควบคุมน้ำหนักโดยลดการดูดซึมและเผาผลาญไขมันที่มีส่วนผสมของใยอาหาร แอลคาร์นิทีน และวิตามินบี ซึ่งเป็นการออกผลิตภัณฑ์โดยใช้การสร้างธุรกิจแบบสตาร์ทอัพ ที่ออกสินค้าลองตลาดเจาะผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มและจัดจำหน่ายในช่องทางเฉพาะ (Selective Channel) อาทิ ช่องทางออนไลน์ และสถานออกกำลังกาย โดยจะใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล แบรนด์ เบบี้มายด์ยังคงรักษาความเป็นผู้นำในตลาดสบู่เหลวสำหรับเด็ก ต่อยอดความสำเร็จจากกลุ่มผลิตภัณฑ์เบบี้มายด์ สวีท อัลมอนด์ ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นอกจากนั้น ยังได้รับผลดีจากกลยุทธ์ควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่าย หรือ Fit Fast Firm อาทิ การปรับสูตรสินค้า การปรับบรรจุภัณฑ์ และอื่นๆ ส่งผลดีต่ออัตราการทำกำไรขั้นต้นให้ปรับตัวดีขึ้นเป็น 34.6% หรือเพิ่มขึ้น 2.8% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา หนุนอัตรากำไรสุทธิให้เพิ่มขึ้นเป็นไปตามแผนที่วางไว้
“การตลาดเชิงรุกและการค้นคว้าวิจัยสร้างสูตรสินค้าใหม่ๆ ช่วยให้เราตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุดและรวดเร็ว ทำให้เรารักษาความเป็นผู้นำในตลาดของผลิตภัณฑ์กลุ่มต่างๆ ได้ดี นอกจากนี้ ไตรมาสที่ผ่านมา เราได้มีการเปิดโรงงานผลิตขวดแก้วที่ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมโรจนะและโรงงานผลิตแป้งแห่งใหม่ที่ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ช่วยเพิ่มกำลังการผลิตรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว”นายเพชรกล่าว
ส่วนไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โอสถสภาต่อยอดความสำเร็จจากการเป็นผู้นำตลาดในประเทศไทยเพื่อขยายเข้าสู่ตลาดเวียดนามโดยเข้าซื้อหุ้นสัดส่วน 60% ในบริษัท Osotspa VTA Joint Stock Company เพื่อประกอบธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศเวียดนาม โดยบริษัทฯ เชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของตลาด ทั้งด้านจำนวนประชากรที่สูงและส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาว เศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง และกำลังซื้อและการจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มขึ้น โดยสร้างและต่อยอดเครือข่ายการจัดจำหน่ายสินค้าของหุ้นส่วนทางธุรกิจ ออกสินค้าที่มีความแตกต่าง และสร้างตำแหน่งทางการตลาดที่สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน
“The aggressive marketing and the research and development of new product formulas have helped us to respond more directly and quickly to customers’ needs, so we are able to maintain our leadership in different product markets. In addition, in this past quarter, we opened a new glass bottle factory in Rojana Industrial Estate and a new talcum powder plant in Lat Krabang Industrial Estate to increase production in response to the markets which are growing at a fast pace,” Mr. Petch said.
ในขณะที่กลุ่มประเทศ CLM (กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์) ซึ่งเป็นตลาดหลักของบริษัทฯ นั้น ยังคงรักษาอัตราการเติบโตที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง โดยโรงงานผลิตเครื่องดื่มแห่งใหม่ในประเทศเมียนมาร์จะก่อสร้างแล้วเสร็จในปีนี้ และจะเริ่มดำเนินการผลิตอย่างเป็นทางการในไตรมาส 1/63 ตามแผนที่วางไว้ รวมทั้งยังวางแผนลงทุนในโรงงานผลิตขวดแก้วในประเทศเมียนมาร์เพิ่มเติมผ่านทางกลุ่มบริษัท Myanmar Golden Eagle Company Limited(MGE) และบริษัท Myanmar Golden Glass Company Limited (MGG) เพิ่มอัตรากำไรให้ดีขึ้น จากระบบการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และประสิทธิภาพในการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในปีพ.ศ. 2564